คริสตชนคาทอลิก เขตแพร่ธรรมแขวงช่องแคบพบพระ
77 ม.3 ต.ช่องแคบ อ.พบพระ จ.ตาก 63160 โทร.089-811-5618
วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2557
พระตรีเอกภาพ
สมโภชพระตรีเอกภาพ
เราเชื่อในพระตรีเอกภาพ สามพระบุคคลในพระเจ้าหนึ่งเดียว
วันนี้เราสมโภชความเชื่อในพระเจ้า หนึ่งเดียว 3 พระบุคคล ถึงแม้ว่าพระธรรมชาติของพระเจ้ายังคงเป็นธรรมล้ำลึก แต่เราก็สามารถเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของแต่ละพระบุคคลที่แสดงออกในเรื่องการสร้างและแผนการความรอดของพระเจ้า
พี่น้องครับ ความเข้าใจโดยทั่วไปว่า พระเจ้าพระบิดาในฐานะพระผู้สร้างจักรวาล ทรงนำสิ่งต่าง ๆ มาสู่โลกผ่านทางพระบุตรด้วยอำนาจของพระจิต หลังจากความผิดพลาดของอาดัมและเอวา พระเจ้าพระบิดาได้กระทำกิจการแห่งความรอดเพื่อนำมนุษย์ทุกคนกลับไปหาพระองค์ แผนการนี้รวมถึงการส่งพระบุตรมาเป็นมนุษย์เพื่อช่วยทุกคนจากบาป
พระบุตร รับเอาเนื้อหนังเพื่อรวมเราให้กลับไปหาพระบิดา พระเยซูเจ้า ทรงสั่งสอน ทรงไขแสดงหนทางซึ่งจะนำความชื่นชมยินดีและเติมเต็มชีวิตในโลกนี้และชีวิตนิรันดร พระเยซูเจ้า ผู้ทรงยอมนอบน้อมต่อพระประสงค์ของพระบิดา เพื่อนำเรากลับไปมีความสัมพันธ์อีกครั้งกับพระเจ้า การตายของพระเยซูบนกางเขน เผยแสดงให้เราทราบว่า พระเจ้านั้นรักเราเพียงใด และพระองค์เอาชนะความตายเพื่อให้อภัยบาปของเรา การกลับคืนชีพของพระองค์ได้ทำลายความตายและให้เรามีความหวังว่า ถ้าเรามีความเชื่อ เราจะได้รับอาณาจักรสวรรค์เป็นรางวัล
พระจิตเจ้า ได้เผยแสดงพระบิดาเจ้าและพระบุตร ในพระพันธสัญญาเดิม การประทับอยู่และกิจการของพระจิตเจ้ายังไม่ถูกเผยแสดง อย่างไรก็ตาม ในบทอ่านที่ 1 ในวันนี้ พระจิตเจ้าคือ พระปรีชาญาณของพระเจ้า ซึ่ง มีอยู่ ก่อนสิ่งสร้างทั้งหมดและ ยังคง ประทับอยู่กับพระเจ้าและรับใช้พระองค์ในฐานะ ผู้ดูแลสิ่งต่าง ๆ ของพระเจ้า
และทั้งหมดนี้ เป็นพระเยซูเจ้าเองที่ได้ทรงมอบพระจิตเจ้าเมื่อพระองค์ทรงสัญญาที่จะมอบองค์พระผู้บรรเทา คือพระจิตแห่งความจริง และในพระวรสารในวันนี้ พระเยซูเจ้าบอกเราว่า พระจิตแห่งความจริงจะนำเราในหนทางแห่งความจริงและจะทำให้เรารู้พระวาจาและข่าวสารต่าง ๆ ของพระเยซูเจ้าที่มีสำหรับเราทุกยุคทุกสมัย
ดังนั้นเป็นพระจิตเจ้าเองที่ได้ช่วยกลุ่มคริสตชนแรกเริ่มให้ได้เข้าใจ ความหมายและเครื่องหมายของการสอนของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจทำให้เกิดการเขียนพระคัมภีร์ ทำให้พระศาสนจักรเติบโตในรอบ 2000 ปีที่ผ่านมา พระจิตเจ้าได้รวมเราในฐานะผู้ที่มีความเชื่อ และในฐานะพระศาสนจักร ในความจริง ความรักและการรับใช้พระเจ้า
อย่างที่นักบุญเปาโลได้บอกกับเรา ผ่านทางพระจิตเจ้า ความรักของพระเจ้าก็มาสู่เราทุกคน ทำให้เรามีความหวังและความเข้มแข็งและทำให้เราแบ่งปันความรักนี้ให้กับผู้อื่น และเรามีหน้าที่ที่จะนำความรักของพระเจ้า สันติสุขให้กับโลกของเราด้วย
พี่น้องครับ ให้เราได้ยอมมอบตนเอง เพื่อเปิดจิตใจของเราให้มากขึ้นเพื่อรับการประทับและกิจการต่าง ๆ ของพระจิตเจ้า โดยระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูเจ้าได้บอกกับเราว่า พระจิตจะนำเราในหนทางแห่งความจริง เราอาจขอพระจิตเจ้าเพื่อให้นำเราให้เข้าใจในสิ่งที่เป็นความหมายของชีวิตอย่างแท้จริง หรือขอให้เราได้ดำเนินชีวิตติดตามพระเยซูเจ้าในชีวิตของเรา ในความยากลำบาก ถือเป็นกางเขนที่เราทุกคนต้องตามพระองค์ไป สวดภาวนาวอนขอพระจิตเจ้าจะได้นำทางชีวิตของเรา ให้ดำเนินชีวิตไปตามพระประสงค์ของพระองค์
ให้เราสรรเสริญพระเจ้า พระบิดา, พระบุตร และพระจิตเจ้า สำหรับพระเจ้าวานนี้ วันนี้ และตลอดไป
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน
สมโภชพระจิตเจ้า 2014
ข้อคิดจากพระวาจาวันอาทิตย์ที่ 8 มิ.ย. 2014
สมโภชพระจิตเจ้า พระวรสาร ยอห์น 20:19-23
โดย คุณพ่อไพศาล ยอแซฟ
ในพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์น สำหรับวันอาทิตย์สมโภชพระจิตเจ้าซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเทศกาลปัสกา พระเยซูเจ้าได้ประทานพระจิตแก่บรรดาศิษย์ของพระองค์
ในเวลาปัจจุบันนี้เป็นเวลาของพระจิตเจ้า หลังจากที่พระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์แล้ว พระองค์ได้ต่อเนื่องงานการไถ่กู้ที่พระองค์ได้ทำไว้โดยอาศัยพระศาสนจักรและโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาศัยพระจิตเจ้า
พระจิตเจ้าเป็นพลังของพระศาสนจักร ทำให้พระศาสนจักรมีความเข้มแข็ง กล้าหาญ และมีปรีชาญาณ โดยที่เราเห็นได้จากบรรดาอัครสาวก เมื่อพวกเขาอยู่กันตามลำพังหลังจากพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ พวกเขามีความหวาดกลัว รวมตัวกันอยู่ในห้องชั้นบน แต่เมื่อพระจิตเจ้ามาประทับกับพวกเขาแล้ว ก็มีความเข้มแข็ง กล้าหาญ ลงมาจากห้องชั้นบนแล้วไปประกาศข่าวดีด้วยปรีชาญาณ
ในวันสมโภชพระจิตเจ้านี้ จึงเป็นโอกาสดีที่เราจะได้รำลึกถึงพระจิตและพระคุณของพระจิตที่เราแต่ละคนได้รับเมื่อเรารับศีลกำลัง และทำให้พระคุณของพระจิตนั้นบังเกิดผลในตัวของเรา ให้เราจะได้มีปรีชาญาณในการดำเนินชีวิต สามารถรู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี มีความกล้าหาญ เข้มแข็งที่จะดำเนินชีวิตในโลกที่มีการผจญล่อลวงมากมายให้เราห่างไปจากพระเจ้า และมีพละกำลังที่จะสู้ทนกับความยากลำบากในการดำเนินชีวิตในโลกนี้ เพื่อจะได้บรรลุการกลับคืนชีพและชีวิตนิรันดรอันเป็นจุดหมายสูงสุดของชีวิตคริสตชนของเรา
วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556
ส.3 เทศกาลธรรมดา ปี C
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลธรรดา ปี C 2013
มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า ทุกคนหรือทุกส่วนในสังคมนั้นเป็นคนที่สำคัญทั้งหมด
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว อวัยวะต่างๆในร่างกายก็เริ่มบ่นว่า กระเพาะอาหาร มือพูดว่า “ดูซิ ฉันจับจอบจับเสียมขุดดินทำไร่ไถนา เกี่ยวข้าว ทำกับข้าว แต่เจ้ากระเพาะอาหารไม่ทำอะไร วันวันได้แต่รอกินอย่างเดียว ไม่ยุติธรรมเลย” เท้าก็เริ่มบ่นบ้าง “เออจริงด้วย ฉันเนี่ยเป็นผู้พาเจ้ากระเพาะอาหารเดินไปเดินมาทั้งวัน พาเดินไปกินข้าว เดินข้ามแม่น้ำไปกินน้ำ ปีนต้นไม้ เจ้ากระเพาะก็ได้แต่กินอย่างเดียว ไม่ยุติธรรมเสียเลย” หัวเริ่มบ่นบ้าง และอวัยวะส่วนอื่นๆ ก็เริ่มบ่นต่อๆกันไป และตกลงกันว่า จะต้องหยุดความไม่ยุติธรรมนี้ให้ได้ ทั้งหมดก็เลยตกลงกันที่จะประท้วงด้วยการหยุดทำงานและหยุดป้อนอาหารให้กับเจ้ากระเพาะจอมขี้เกียจจนกว่า เจ้ากระเพาะจอมขี้เกียจนั้นจะได้รับบทเรียนที่สาสมจากประชากรส่วนต่างๆ ในร่างกาย
ตลอดวันทั้งวัน เจ้ากระเพาะก็ไม่ได้กินอะไรเลย ไม่มีน้ำ ไม่มีไวน์หรืออะไรทั้งสิ้น เจ้ากระเพาะก็ได้แต่ร้องจ๊อกๆ ไปทั้งวัน ในขณะที่อวัยวะส่วนอื่นๆ ก็ด่าว่าไป วันที่สองของการประท้องเจ้ากระเพาะ เจ้าหัวก็พูดขึ้นมาว่า เขารู้สึกมึนๆ งงๆ วันที่สาม มือก็รายงานว่า รู้สึกว่าไม่มีกำลังเลย เท้าก็บ่นว่า ไม่มีแม้แต่แรงที่จะยืน แล้วทั้งหมดก็เริ่มรู้แจ้งเห็นจริงว่า พวกเขาได้ให้อาหารแก่เจ้ากระเพาะ แล้วในที่สุดเจ้ากระเพาะก็ย่อยและเปลี่ยนเป็นสารอาหาร พละกำลังให้กับส่วนต่างๆในร่างกาย อวัยวะต่างๆ รู้แจ้งเห็นจริงว่า ถ้าพวกเขาช่วยกันให้อาหารแก่เจ้ากระเพาะ เจ้ากระเพาะก็จะเลี้ยงอวัยวะอื่นๆโดยที่อวัยวะอื่นๆไม่รู้ตัวเลย ดังนั้นอวัยวะทุกส่วนจึงเลิกประท้วงและกลับไปทำงานของตนเองเพื่อส่งอาหารให้กับเจ้ากระเพาะ ความเข้มแข็ง ก็กลับคืนมาและอวัยวะทุกส่วนก็มีความสุข
สิ่งที่บทอ่านที่สองในวันนี้บอกเราก็คือ ทุกๆคนในพระศาสนจักร เป็นผู้ที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน , แม้จะดูเหมือนว่าบางคนไม่ได้ทำอะไรเลยแต่ก็มีประโยชน์ต่อบุคคลอื่นๆ น.เปาโล ได้บอกในบทจดหมายของท่านว่า
22ตรงกันข้าม ส่วนที่เราคิดว่าเป็นอวัยวะที่อ่อนแอของร่างกายกลับเป็นอวัยวะที่จำเป็นมากกว่า 23อวัยวะส่วนที่เราคิดว่าไม่มีเกียรติในร่างกาย เรากลับทะนุถนอมด้วยความเคารพเป็นพิเศษ และอวัยวะที่น่าอับอายของเรากลับได้รับการตกแต่งให้งดงามมากกว่าส่วนอื่น 24อวัยวะที่น่าดูอยู่แล้วไม่ต้องการตกแต่งอะไรอีก พระเจ้าทรงประกอบร่างกายขึ้น โดยให้เกียรติแก่อวัยวะที่ไม่มีเกียรติมากกว่าอวัยวะอื่น ๆ 25เพื่อร่างกายจะได้ไม่มีการแตกแยกใด ๆ ตรงกันข้าม อวัยวะแต่ละส่วนจะเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน (1 Corinthians 12:22-25).
เรารู้ว่า คนยากจนอาจจะอิจฉาคนที่ร่ำรวยกว่า แต่พี่น้องรู้หรือไม่ว่า บางครั้งกลับเป็นคนที่ร่ำรวยที่แอบอิจฉาคนที่ยากจนด้วย ? ทำไมคนร่ำรวยจึงแอบอิจฉาคนยากจน เพราะคนจนจ่ายภาษีน้อยกว่าคนร่ำรวยหรือ?? บางทีเราอาจเคยได้ยินคนที่บ่นเรื่องจ่ายภาษี แต่บางคนยากจนบางคนก็ไม่ต้องจ่ายเลย ก็อาจมี ถ้าคนที่ร่ำรวยคิดว่า คนยากจนหรือคนที่ไม่ต้องจ่ายอะไรเลยนั้นสบาย เราก็ต้องลองเป็นคนยากจนแบบนั้นดูบ้าง
มีพระสังฆราชองค์หนึ่ง มีความสามารถพิเศษมากและมีบุคคลที่ท่านสามารถใช้งานได้เป็นอย่างดีคนหนึ่ง จนเรียกได้ว่า ถ้าต้องการทำอะไรให้สำเร็จอย่างดี ให้มอบงานกับชายคนนี้ วันหนึ่งพระสังฆราชก็เรียกชายคนนี้และมอบหมายงานให้ ชายคนนี้ก็ต่อว่าพระสังฆราชว่า “พระคุณเจ้า นี่ผมเป็นคนเดียวที่ทำงานให้ท่านได้หรือครับ? ทำไมงานทุกอย่างจะต้องประดังมาที่ผม ในขณะที่คนอื่นๆ กลับนั่งสบายไม่ต้องทำอะไรเลย?
พระสังฆราชผู้ฉลาดปราดเปรื่องก็ตอบว่า “ท่านต้องการให้เราสวดภาวนาขอให้ไม่มีใครใช้งานท่านอีกหรือ???” ชายคนนั้นก็เริ่มเข้าใจ เพราะเขาไม่อยากเป็นเหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่สามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายไม่สำเร็จ หลังจากนั้น เขาก็เลิกบ่นว่าและรู้สึกมีความสุขที่ได้รับมอบหมายงานต่างๆ ให้ เพื่อความดีของส่วนรวม
พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ ท้าทายเราให้ปล่อยวางความต้องการส่วนตัวของเราเอง เลิกเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น หรือคิดว่า คนอื่นต่ำต้อยด้อยค่ากว่าเรา ไม่มีส่วนใดๆในร่างกายที่ต่ำต้อยด้อยค่ากว่ากัน ในทำนองเดียวกัน ไม่ควรมีใคร ในวัด ในพระศาสนจักรที่จะถูกมองว่า ต่ำต้อยด้อยค่ากว่ากันด้วย พระเจ้าได้มอบให้แต่ละคนแตกต่างกันด้วยพระพรต่างๆ ประทานโอกาสต่างๆให้แตกต่างกัน มีงานแตกต่างกัน มีชีวิตที่แตกต่างกัน สิ่งที่เราควรทำก็คือ จงซื่อสัตย์ต่อพระหรรษทานของพระเจ้า ที่พระองค์ประทานให้กับเราในแต่ละวัน
ขอพระเจ้าประทานพระพรแด่พี่น้องทุกท่าน
วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
กลุ่มคริสตชนที่ริเริ่มโดย คุณพ่อตรีเกรอัต....
จุดประสงค์หลัก
งานดูแลและอภิบาลสัตบุรุษภายในเขตแพร่ธรรม เกี่ยวกับการทำพิธีกรรม,ศีลศักดิ์สิทธิ์,งานคำสอนและแพร่ธรรมกับชาวบ้านในหมู่บ้านต่างๆ และความช่วยเหลืออื่น ๆ ตามความเหมาะสม
งานสงเคราะห์ โดยเน้นการให้ความช่วยเหลือทางด้านการศึกษาแก่เด็กชาวเขาและเด็กด้อยโอกาส ให้มีการศึกษาที่เท่าเทียมกัน และสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
งานด้านการช่วยเหลือผู้อพยพลี้ภัยจากประเทศพม่า ภายในศูนย์อพยพและบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง
ข้อมูลทั่วไป
จำนวนพระสงฆ์/priest ทั้งสิ้น 1 คน
จำนวนนักบวชหญิง /female religious ทั้งสิ้น 2 คน
จำนวนนักบวชชาย /Male religious ทั้งสิ้น - คน
จำนวนสัตบุรุษคาทอลิก/catholic population ทั้งสิ้น 1,030 คน
(ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551/ data on 31th , December 2008)
หมู่บ้านคาทอลิกในเขต/Village ทั้งสิ้น 10 หมู่บ้าน
ครูคำสอน/ Cathecist ทั้งสิ้น 5 คน
ครูในโรงเรียน/Teacher in school ทั้งสิ้น 20 คน
วัดคาทอลิก จำนวน 5 วัด ได้แก่ Catholic church
ที่
ชื่อวัด/Church
เขตบริการ/area
ผู้รับผิดชอบ/responsible person
1
วัดพระมารดา /Pramanda catholic church
ช่องแคบ
Chongkhape
คุณพ่อพรชัย วิลาลัย
และหัวหน้าคริสตังค์
2
วัดแม่พระประจักษ์เมืองลูร์ด St.Mary of Lurde
หมู่บ้านห้วยน้ำนัก
Huay Nam nak
คุณพ่อพรชัย วิลาลัยและหัวหน้าคริสตัง
3
วัดพระตรีเอกภาพ
Trinity church
Umpium
refugee camp
คุณพ่อพอล ทาร์ซาน
และครูคำสอน คุณยูจิ
4
St.Mary of Lurde catholic church
Umpium
refugee camp
คุณพ่อพอล ทาร์ซาน
และครูคำสอนคุณมารี
5
St.Paul catholic church
Nu pho
refugee camp
คุณพ่อพอล ทาร์ซาน
และครูคำสอน
กลุ่มคริสตชน จำนวน 6 กลุ่ม, Catholic Communities in this area.
ที่
ชื่อกลุ่มคริสตชน/Name
สถานที่ตั้ง/Location
ผู้รับผิดชอบ/
Responsible person
1
ชอระแตะ Soratae
อ.พบพระ จ.ตาก Phoppra,Tak
คุณพ่อพรชัย วิลาลัย
และหัวหน้าคริสตังค์
2
มอเกอร์ Morger
อ.พบพระ จ.ตาก Phoppra,Tak
คุณพ่อพรชัย วิลาลัย
และหัวหน้าคริสตังค์
3
ผากะเจ้อ Phakager
อ.พบพระ จ.ตาก Phoppra,Tak
คุณพ่อพรชัย วิลาลัย
และหัวหน้าคริสตังค์
4
หมื่นฤาชัย Muan leu chai
อ.พบพระ จ.ตาก Phoppra,Tak
คุณพ่อพรชัย วิลาลัย
และหัวหน้าคริสตังค์
5
โกช่วย Kochuay
อ.แม่สอด จ.ตาก Mae Sot,Tak
คุณพ่อพรชัย วิลาลัย
และหัวหน้าคริสตังค์
6
ห้วยน้ำขุ่น Huay Nam Khun
อ.แม่สอด จ.ตาก Mae Sot , Tak
คุณพ่อพรชัย วิลาลัย
และหัวหน้าคริสตังค์
องค์กร จำนวน 1 องค์กร คือ มูลนิธิปรีชาญาณ เพื่อสงเคราะห์เด็กและเยาวชนผู้ด้อยโอกาส / 1 organization for the poor childrens and youths. Name Prechayan foundation.
โรงเรียน จำนวน 2 โรง คือ โรงเรียนปรีชาญาณศึกษา พบพระ และ โรงเรียนอนุบาลสิริโรจนา / 2 schools for Migrant and poor childrens , Prechayan suksa and Sirirojana kindergarden center in Phoppra.
ศูนย์การเรียนรู้ จำนวน 1 ศูนย์การเรียน คือ ศูนย์การเรียนเซนต์ปีเตอร์ / 1 learning center/ St.Peter learning center.
ค่ายผู้ลี้ภัย จำนวน 2 แห่ง คือ ค่ายอพยพบ้านอุ้มเปี้ยม และ ค่ายอพยพบ้านนุโพ / 2 refugee camps in Umpium and Nu Pho .
โรงเรียนในฝั่งพม่า จำนวน 4 โรง / support 4 learning center schools in Burma side with NCCM of Thailand.
หมู่บ้านขุนห้วยช่องแคบ
บ้านขุนห้วยช่องแคบ หมู่ที่ 3 ตำบลช่องแคบ
1. สภาพทั่วไปของหมู่บ้าน
ประวัติหมู่บ้าน
บ้านขุนห้วยช่องแคบ จัดตั้งขึ้นมีนายบาโดและดิ๊ตุเท่ง ซึ่งเป็นชาวพม่าได้อพยพมาตั้ง ถิ่นฐานในหมู่บ้าน เนื่องจากพื้นที่ในหมู่บ้านเป็นพื้นที่เหมาะแก่การเกษตร จึงมีชาวไทยภูเขาเผ่ากระเหรี่ยงได้พากันอพยพมาอาศัยในหมู่บ้าน และได้จัดตั้งเป็นหมู่บ้าน ชื่อว่า บ้านจอแขะ ต่อมาจึงได้เปลี่ยนชื่อหมู่บ้าน บ้านขุนห้วยช่องแคบ ประชากรเป็นชาวไทยภูเขาเผ่ากระเหรี่ยงปัจจุบันมีนาย บุญเลิศ พงพนาพาเจริญ เป็นผู้ใหญ่บ้าน
ที่ตั้ง ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ ของที่ว่าการอำเภอพบพระ ระยะทาง 13 กม.ห่างจากศาลากลางจังหวัดตากเป็นระยะทาง137 กม.
พื้นที่ หมู่บ้านรวม 7,800ไร่ แยกเป็นพื้นที่การเกษตร7,000ไร่พื้นที่สาธารณประโยชน์750ไร่ที่อยู่อาศัย50 ไร่
2. อาณาเขต
ทิศเหนือ จรดบ้านห้วยหมี ตำบล มหาวัน อำเภอแม่สอด จังหวัด ตาก
ทิศใต้ จรด บ้านช่องแคบ หมู่ที่ 1 ตำบลช่องแคบ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก
ทิศตะวันออก จรด บ้านซอโอ หมู่ที่ 2 ตำบลช่องแคบ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก
ทิศตะวันตก จรด บ้านประเทศเพื่อน(พม่า)
3. ลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศ
เป็นหมู่บ้านที่มีภูเขาล้อมรอบสลับซับซ้อนติดเขตแดนพม่า อยุ่ทางทิศตะวันตะวันตกของอำเภอพบพระมีแม่น้ำเมยไหลผ่านเส้นเขตแดนไทย-พม่าโดยทั่วไปในฤดูหนาวจะมัอากาศเย็นมาก มีหมอกหนาทึบเหมาะกับการเพาะปลูกพืชไร่
จำนวนครัวเรือน ทั้งหมดครัวเรือน ประชากรทั้งหมด399คนแยกเป็น ชาย201คน หญิง198คน (ข้อมูลจาก จปฐ.ปี 2551)และจากข้อมูลทะเบียบราษฎร์ มีครัวเรือน120 ครัวเรือนประชากรทั้งหมด 530 คน แยกเป็น258ชาย คนหญิง272คน
อาชีพและรายได้
อาชีพ ทำนา34 ครัวเรือน อาชีพทำไร่9 ครัวเรือนอาชีพ ค้าขาย 3ครัวเรือน
อาชีพ รับจ้าง4 ครัวเรือน รายได้เฉลี่ยของคนในหมู่บ้าน 23,751บาท/คน/ปีรายได้รวม(GVP) ของหมู่บ้าน(ประมาณ)9,476,700บาทรายจ่ายรวมของหมู่บ้านประมาณ4,704,290บาท
ภูมิปัญญาและผลิตภัณฑ์
การทอผ้ากระเหรี่ยง ทอไว้ใช้เอง
การศึกษา/ศาสนา
นับถือศาสนา พุทธ จำนวน 28 ครัวรือน
ศาสนาคริสต์ จำนวน 20 ครัวเรือน
มีโรงเรียน 1 แห่ง สอนระดับสูงสุด ป.6
จุดด้อย
การติดต่อสื่อสารล่าช้า
อัตลักษณ์ของหมู่บ้าน การแต่งการด้วยผ้าทอกระเหรี่ยง
จุดยืนการพัฒนาหมู่บ้าน ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของหมู้บ้าน
ตำแหน่งการพัฒนาอาชีพ การฝึกอาชีพเสริม
วิสัยทัศน์ของหมู่บ้าน หมู่บ้านสะอาด น่าอยู่ อากาศปลอดมลพิษ
ประวัติวัดพระมารดา ขุนห้วยช่องแคบ
วัดพระมารดาและศูนย์พระมารดา
ขุนห้วยช่องแคบ
ประวัติโดยย่อ
วัดพระมารดาและศูนย์พระมารดา ขุนห้วยช่องแคบ ตั้งอยู่เลขที่ 77 หมู่ 3 ตำบลช่องแคบ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ได้ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2514/ค.ศ.1971 โดยคุณพ่อ คุณพ่อกาเบรียล ตีเกรอัต (พ่ออ้วน) ซึ่งในช่วงเวลาแรกเริ่ม ท่านยังคงประจำอยู่ที่วัดนักบุญเทเรซา อำเภอแม่สอด และได้เดินทางมาอภิบาลสัตบุรุษที่บริเวณนี้ จนกระทั่ง คุณพ่อได้ย้ายเข้ามาประจำในเขตช่องแคบ-พบพระ ประวัติศาสตร์การแพร่ธรรมจึงเริ่มต้นขึ้นจากจุดนี้
คุณพ่อตรีเกรอัตได้เริ่มต้นงานอภิบาลกับชาวบ้านในหลายหมู่บ้านด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่งและสิ่งที่เป็นความโดดเด่นก็คือ การที่คุณพ่อได้ดูแลนักเรียนผู้ด้อยโอกาสเป็นจำนวนมากหลายร้อยคน โดยให้พวกเขาได้รับการศึกษา รับการอบรมคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งในจำนวนนี้มีจำนวนไม่น้อยที่ได้ขอรับศีลล้างบาปมาเป็นคริสตชนมาจนถึงทุกวันนี้
คุณพ่อได้ให้ความรัก ความเอาใจใส่ต่อทุกคน และให้ความช่วยเหลือต่อชาวบ้านจนคุณพ่อมีชื่อเสียงในด้านความรักและความเมตตาที่ท่านได้ให้กับชาวบ้านตลอดเวลา หลายๆ ครั้งที่คุณพ่อต้องลำบากออกไปเพื่อช่วยเหลือต่อชาวบ้านที่ยากจน พาไปส่งโรงพยาบาล การแจกจ่ายยารักษาโรค ดูแลชีวิตและช่วยเหลือต่อชาวบ้านอย่างดี
สิ่งที่เป็นคุณธรรมที่โดดเด่นที่เรามักจะได้ยินจากชาวบ้านก็คือ ความใจดีของคุณพ่ออย่างไม่มีที่สิ้นสุด ชาวบ้านจึงรู้สึกรักและผูกพันกับคุณพ่อตรีเกรอัต(พ่ออ้วน) เป็นอย่างยิ่งจนถึงทุกวันนี้ เป็นที่น่าเสียดายที่คุณพ่ออ้วนได้จากบรรดาสัตบุรุษที่ท่านรักไปเมื่อวันที่ 23 มกราคม ค.ศ.2007
จากนั้น คุณพ่อผจญ คีรีอำรุง จึงรับหน้าที่ดูแลแทนในระยะหนึ่ง
ต่อมาใน พ.ศ. 2543 คุณพ่อโอลิเวียร์ โปรดอมม์ ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เป็นผู้รับผิดชอบเขตแพร่ธรรมนี้ จนถึง พ.ศ. 2552 ในระยะเวลาดังกล่าวคุณพ่อได้สร้างหอพักนักเรียนและศูนย์ต่าง ๆ เช่น ศูนย์มารีอา ,ศูนย์ฟรังซิส อ.พบพระ เพื่อเป็นสถานที่ในการช่วยเหลือนักเรียนชาวเขาปกาเกอะญอ,ม้ง ฯลฯ ให้มีโอกาสได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานในระดับต่างๆ ซึ่งมีตั้งแต่ระดับชั้น อนุบาล-มัธยมศึกษาปีที่ 6
นอกจากนี้ ยังดำเนินการจัดตั้งมูลนิธิปรีชาญาณ เพื่อสงเคราะห์เด็กและเยาวชนผู้ด้อยโอกาส ขึ้นในปี พ.ศ. 2549 รวมทั้งยังมีการจัดตั้ง โรงเรียนปรีชาญาณศึกษา พบพระ อ.พบพระ และ โรงเรียนสันถวไมตรีศึกษา อ.แม่สอด ซึ่งเป็นโรงเรียนการศึกษาสงเคราะห์ ตาม พ.ร.บ. การศึกษาเอกชน พ.ศ. 2550 ขึ้นเป็นแห่งแรกอีกด้วย และสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับทางหน่วยงานราชการของจังหวัดหลายหน่วยงาน
และในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2553/ค.ศ.2010 พระคุณเจ้ายอแซฟ พิบูลย์ วิสิฐนนทชัย พระสังฆราชสังฆมณฑลนครสวรรค์ ได้แต่งตั้ง คุณพ่อพรชัย วิลาลัย พระสงฆ์จากอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ (บวช 30 พฤษภาคม 2004) เป็นผู้ดูแลผู้รับผิดชอบเขตแพร่ธรรมนี้ จนถึงปัจจุบัน
วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
ข้อคิดสะกิดใจ.....อาทิตย์ที่ 17 เทศกาลธรรมดา 29.07.55
เด็กชายคนหนึ่งก็ไปเรียนคำสอนที่วัดในวันอาทิตย์ เมื่อเรียนเสร็จแม่ก็ไปรับ ระหว่างทางที่กำลังนั่งในรถนั้นเอง เขาก็บอกแม่ว่า “เรื่องโมเสสและผู้คนที่ข้ามทะเลแดงมีบางสิ่งบางอย่างครับแม่” “ไหนบอกแม่มาซิ”
"เมื่อชาวยิวได้รับอนุญาตให้ออกจากแผ่นดินอียิปต์แล้ว แต่กษัตริย์ฟาโรห์และกองทัพก็ยังไล่ตามพวกชาวยิวไป ชาวยิวก็เลยวิ่งหนีให้เร็วที่สุด จนในที่สุดพวกเขาก็มาถึงทะเลแดง กองทัพของกษัตริย์ก็ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา โมเสสก็เลยใช้วิทยุสื่อสารไปบอกกองทัพอากาศอิสราแอลให้ส่งเครื่องรบมาบอมบ์พวกอียิปต์ และในขณะนั้นเอง กองทัพเรือของอิสราแอลก็สร้างแพเพื่อให้ชาวยิวได้เดินข้ามทะเลแดงไปได้”
แม่ก็ช๊อคไปเลยแล้วจึงถามลูกชายว่า “นี่เขาสอนลูกอย่างนี้หรือ?” "ก็ไม่เชิงครับแม่" ลูกชายตอบ"แต่ถ้าผมเล่าแบบที่เขาเล่ามา แม่ก็ไม่เชื่อผมอยู่ดีนั่นแหละ”
เด็กน้อยคนนี้คิดแบบเด็กๆ และอาจไม่เชื่อในเรื่องอัศจรรย์ใดใดและไม่มีที่ว่างสำหรับความจริงทางจิตวิญญาณ ทางด้านจิตใจ.
ในพระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ เรื่องราวของการเลี้ยงคน 5 พันคน น.ยอห์น อ้างถึงชื่อของศิษย์ 2 คนคือ ฟิลิปและอันดรูว์ ศิษย์สองคนนี้สามารถเป็นตัวแทนของ ความเชื่อในสองรูปแบบ
ฟิลิป เป็นตัวแทนของ ความเชื่อแบบจับต้องได้ *อันดรูว์เป็นตัวแทนของความเชื่อแบบเหนือธรรมชาติ ทำให้อันดรูว์มีที่ว่างสำหรับอัศจรรย์ต่างๆและทำให้อัศจรรย์นั้นเป็นไปได้
พระเยซูและบรรดาศิษย์ของพระองค์ได้พบกับปัญหา ฝูงชนจำนวนมากติดตามพระองค์ ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พระเยซูจึงหันไปหาฟิลิปและถามว่า “พวกเราจะไปซื้อขนมปังที่ไหนให้คนเหล่านี้กิน? (John 6:5). เราจึงตั้งคำถามว่า ทำไมพระเยซูจึงหันไปหาฟิลิปและทำไมจึงถามเรื่องการไปซื้อขนมปัง? บางทีพระเยซูอาจรู้ว่า ในจิตใจของฟิลิปนั้น ไม่อาจรับเรื่องที่ว่า จะเลี้ยงคนจำนวนมากมายนั้นได้อย่างไร? ยกเว้นแต่ต้องอาศัยเงิน? และนี้คือสิ่งที่ น.ยอห์นได้เพิ่มเติมเข้าไปว่า "พระองค์ตรัสดังนี้เพื่อทดลองใจเขา” (ข้อที่ 6). คำตอบของฟิลิปแสดงให้เห็นถึงการคำนวนเพียงแต่ตัวเลข คำนวนแต่ทางด้านวัตถุเท่านั้น "ขนมปังสองร้อยเหรียญแจกให้คนละนิดก็ไม่พอ”(ข้อที่7). แต่พระเยซูเจ้าทรงรู้ดีว่าพระองค์ทำอะไร พระองค์ถามคำถามเช่นนี้ เพื่อปลุกความคิดเรื่องเกี่ยวกับวัตถุแต่เพียงอย่างเดียวของฟิลิป
สำหรับอันดรูว์ ความเชื่อสำคัญกว่า พูดขึ้นมาว่า "เด็กคนหนึ่งที่นี่มีขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาสองตัว” (ข้อ 9). อันดรูว์รู้ดีว่า ขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวไปสิ่งที่ไม่มีค่าอะไรเลย ต่อหน้าจำนวน 5000คน นับเฉพาะชาย ยังไม่รวมผู้หญิงและเด็ก
แต่อันดรูว์มีความเชื่อเพียงพอที่จะเห็นว่า ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว เพียงพอสำหรับการเริ่มต้น. บางทีอันดรูว์อาจจะอ้างถึงปลา 2 ตัวกับขนมปัง เพราะท่านจำได้ว่า ที่งานเลี้ยงแต่งงานที่เมืองคานา พระเยซูยังเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่นได้เลย ท่านจำได้ว่า พระเยซูมิได้ทำเปลี่ยนน้ำเป็ฯเหล้าจากความว่างเปล่า แต่ทำอัศจรรย์จากบางสิ่งบางอย่างที่มีอยู่ และเป็นหน้าที่ของบรรดาศิษย์ที่จะต้องเป็นผู้จัดหาสิ่งธรรมดาๆ เพื่อพระเยซูเจ้าจะได้ทรงทำอัศจรรย์ได้ เหมือนอย่างการเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่น, หรือขนมปังที่จะเลี้ยงคนจำนวนมากๆ
ดังนั้น ความเชื่อไม่ได้หมายความว่า เราไม่ต้องทำอะไรเลย แล้วก็มองไปที่สวรรค์เพียงอย่างเดียว แทนที่จะทำอย่างนั้น เราต้องเตรียมสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ แม้เป็นเพียงแค่ ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว แต่ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ อัศจรรย์คงไม่เกิดขึ้นแน่นอน
อัศจรรย์ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทำเพื่อเรา แต่พระองค์ทรงทำร่วมกับเราด้วย
เฮนรี่ ฟอร์ด เคยกล่าวไว้ว่า "ไม่ว่าคุณจะคิดว่าจะทำได้หรือทำไม่ได้ คุณก็ถูกเสมอ"
เช่นกันเราอาจจะบอกได้ว่า ไม่ว่าคุณจะเชื่อในอัศจรรย์หรือไม่ก็ตาม ผู้ที่มีความเชื่อก็สามารถทำให้เกิดอัศจรรย์ในชีวิตของเราได้เสมอ
ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อ ก็ปิดโอกาสของตัวเองที่จะมีประสบการณ์เกี่ยวอัศจรรย์ต่างๆ ดังเช่นที่พระเยซูเจ้าทรงตรัสไว้เสมอๆ ว่า “จงเป็นไปตามที่ท่านเชื่อเถิด” (Matthew 9:29)
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)
